ให้นักศึกษาเขียนระบบการสอนวิชาอะไรก็ได้ในสาขาสังคมศึกษามา1ระบบอธิบายรายละเอียดโดยใช้หลัก IPO มาพอสังเขป
- ระบบการสอนรายวิชา ประวัติศาสตร์ไทย
สาระการเรียนรู้ “ประวัติศาสตร์ไทย” ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 สิ่งที่ครูผู้สอนหรือผู้นิเทศภายในสถานศึกษา จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเป็นอันแรก ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้สาระประวัติศาสตร์ มีมาตรฐานที่สำคัญ 3 ข้อ ดังนี้
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลา และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ
มาตรฐาน ข้อนี้ เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้และเข้าใจสามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมาวิเคราะห์ ฯ
มาตรฐาน 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในแง่ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น
มาตรฐาน ข้อนี้ เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในแง่ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ฯ
มาตรฐาน 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความภาคภูมิใจและธำรงความเป็นไทย
มาตรฐาน ข้อนี้ เน้นความเข้าใจความเป็นมาของชาติไทย ฯ
กรอบความคิดการจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน “สาระประวัติศาสตร์”
- Input
1.แผนการสอน เช่น มีการเตรียมแผนการสอนของรายวิชาประวัติศาสตร์
ศึกษาเนื้อหา
อย่างละเอียดและเข้าใจอย่างถูกต้อง
2.วัตถุประสงค์ของการสอน เช่น
ต้องการให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ของไทยอย่างถูกต้อง รู้ถึงความเป็นมา
3.เนื้อหา เช่น เนื้อหาต้องครบถ้วนสมบูณ์
สอนตามสาระการเรียนรู้แกนกลาง
4.สื่อการสอนเช่น น่าสนใจ
เหมาะกับวัยของนักศึกษา หรือ นักเรียน
- Process
(วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ: เทคนิคคู่คิด)
นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
ชั่วโมงที่ 11. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
2. ครูนำรูปภาพบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มาแสดงให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนบอกว่า เป็นรูปภาพของใคร และมีความสำคัญอย่างไร
รูปที่ 1 เฮโรโดตุส บิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก
รูปที่ 2 ซือหม่า เซียน บิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันออก
รูปที่ 3 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บิดาวิชาประวัติศาสตร์ไทย
3. ให้นักเรียนศึกษาความสำคัญของประวัติศาสตร์ จากหนังสือเรียน
4. นักเรียนและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับความสำคัญของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
5. ครูตั้งประเด็นคำถามนำ เช่น ถ้าเราต้องการรู้ว่าท้องถิ่นหรือชุมชนของเราในอดีตเป็นอย่างไร เราศึกษาได้จากอะไร มีขั้นตอนในการศึกษาอย่างไร
6. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น และชี้แนะให้นักเรียนเข้าใจว่า ถ้าเราต้องการรู้ว่าท้องถิ่นหรือชุมชนของเราในอดีตมีลักษณะอย่างไร เราจะต้องศึกษาจากร่องรอยหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ เช่น ศึกษาจากอาคารสถานที่ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ วิถีการดำเนินชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณี บันทึก หรือจากหนังสือ สิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
7. ครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ จากหนังสือเรียน
ชั่วโมงที่ 2-31. ครูยกตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และให้นักเรียนช่วยกันตอบว่า เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทใด เช่น
- ตำนานพญาคันคาก ตำนานพระแก้วมรกต พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จดหมายเหตุลาลูแบร์ แนวพระราชวังเก่า ภาพเขียนสมัยกรุงธนบุรี ลวดลายศิลปกรรมพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
2. ครูเล่าตำนานพญาคันคาก (เอกสารประกอบการสอน) ซึ่งเป็นตำนานแสดงความเชื่อของชาวอีสานให้นักเรียนฟัง
3. ให้นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์จากประเด็นที่ครูกำหนดให้ เช่น
- นักเรียนคิดว่า ตำนานพญาคันคากน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะเหตุใด
4. ครูให้นักเรียนจับคู่วิเคราะห์ พร้อมทั้งแสดงเหตุผลเป็นประเด็น ๆ และสรุปลงในกระดาษที่ครูแจกให้ (กระดาษ A4 ) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
5. ให้ตัวแทนนักเรียนคู่ที่แสดงความคิดเห็นว่า น่าเชื่อถือออกมาร่วมแสดงความคิดเห็น ครูสรุปประเด็นสำคัญ แล้วจึงให้ตัวแทนนักเรียนคู่ที่แสดงความคิดเห็นว่า ไม่น่าเชื่อถือออกมาร่วมแสดงความคิดเห็น
6. ครูสรุปสาระสำคัญจากที่นักเรียนแสดงความคิดเห็น และอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่าการวิเคราะห์เรื่องราวของตำนานพญาคันคากที่เกิดขึ้นมาแล้วว่า เป็นจริงมากแค่ไหน จะต้องใช้วิธีการที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตำนานพญาคันคาก เป็นตำนานแสดงความเชื่อของชาวอีสานและชุมชนสองฝั่งโขงเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมสำคัญ
7. ให้นักเรียนศึกษาขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ จากหนังสือเรียน แล้วครูอธิบายขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ ตามลำดับ ดังนี้
- การตั้งประเด็นที่จะศึกษา
- การรวบรวมหลักฐาน
- การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
- การเลือกสรรและจัดความสัมพันธ์ของข้อมูล
- การนำเสนอข้อมูล หรือการสังเคราะห์ข้อมูล
8. ให้นักเรียนเปรียบเทียบและอภิปรายวิธีการทางประวัติศาสตร์ กับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระและสร้างสรรค์
ชั่วโมงที่ 41. ให้นักเรียนเล่นเกมโดยแจกบัตรคำตามจำนวนนักเรียน เช่น ก้อนหิน อิฐ ใบลาน ศิลาจารึก หอก ดาบ มีด โครงกระดูก จดหมายเหตุ สายสร้อย แหวน ถ้วยชาม เป็นต้น
2. ให้นักเรียนรวมกันเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
กลุ่มที่ 2 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
3. ครูให้ตัวแทนกลุ่มบันทึกรายชื่อคำต่างๆ ที่จัดอยู่ในกลุ่มของตน เมื่อแต่ละกลุ่มทำเสร็จครูเฉลยคำตอบ และให้นักเรียนสรุปประโยชน์จากการปฏิบัติกิจกรรม
4. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาความรู้เกี่ยวกับประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย จากหนังสือเรียน
5. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความรู้ และทำใบงานที่ 3.1 เรื่อง หลักฐานทางประวัติศาสตร์
นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
ชั่วโมงที่ 11. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
2. ครูนำรูปภาพบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มาแสดงให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนบอกว่า เป็นรูปภาพของใคร และมีความสำคัญอย่างไร
รูปที่ 1 เฮโรโดตุส บิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก
รูปที่ 2 ซือหม่า เซียน บิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันออก
รูปที่ 3 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บิดาวิชาประวัติศาสตร์ไทย
3. ให้นักเรียนศึกษาความสำคัญของประวัติศาสตร์ จากหนังสือเรียน
4. นักเรียนและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับความสำคัญของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
5. ครูตั้งประเด็นคำถามนำ เช่น ถ้าเราต้องการรู้ว่าท้องถิ่นหรือชุมชนของเราในอดีตเป็นอย่างไร เราศึกษาได้จากอะไร มีขั้นตอนในการศึกษาอย่างไร
6. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น และชี้แนะให้นักเรียนเข้าใจว่า ถ้าเราต้องการรู้ว่าท้องถิ่นหรือชุมชนของเราในอดีตมีลักษณะอย่างไร เราจะต้องศึกษาจากร่องรอยหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ เช่น ศึกษาจากอาคารสถานที่ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ วิถีการดำเนินชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณี บันทึก หรือจากหนังสือ สิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
7. ครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ จากหนังสือเรียน
ชั่วโมงที่ 2-31. ครูยกตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และให้นักเรียนช่วยกันตอบว่า เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทใด เช่น
- ตำนานพญาคันคาก ตำนานพระแก้วมรกต พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จดหมายเหตุลาลูแบร์ แนวพระราชวังเก่า ภาพเขียนสมัยกรุงธนบุรี ลวดลายศิลปกรรมพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
2. ครูเล่าตำนานพญาคันคาก (เอกสารประกอบการสอน) ซึ่งเป็นตำนานแสดงความเชื่อของชาวอีสานให้นักเรียนฟัง
3. ให้นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์จากประเด็นที่ครูกำหนดให้ เช่น
- นักเรียนคิดว่า ตำนานพญาคันคากน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะเหตุใด
4. ครูให้นักเรียนจับคู่วิเคราะห์ พร้อมทั้งแสดงเหตุผลเป็นประเด็น ๆ และสรุปลงในกระดาษที่ครูแจกให้ (กระดาษ A4 ) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
5. ให้ตัวแทนนักเรียนคู่ที่แสดงความคิดเห็นว่า น่าเชื่อถือออกมาร่วมแสดงความคิดเห็น ครูสรุปประเด็นสำคัญ แล้วจึงให้ตัวแทนนักเรียนคู่ที่แสดงความคิดเห็นว่า ไม่น่าเชื่อถือออกมาร่วมแสดงความคิดเห็น
6. ครูสรุปสาระสำคัญจากที่นักเรียนแสดงความคิดเห็น และอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่าการวิเคราะห์เรื่องราวของตำนานพญาคันคากที่เกิดขึ้นมาแล้วว่า เป็นจริงมากแค่ไหน จะต้องใช้วิธีการที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตำนานพญาคันคาก เป็นตำนานแสดงความเชื่อของชาวอีสานและชุมชนสองฝั่งโขงเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมสำคัญ
7. ให้นักเรียนศึกษาขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ จากหนังสือเรียน แล้วครูอธิบายขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ ตามลำดับ ดังนี้
- การตั้งประเด็นที่จะศึกษา
- การรวบรวมหลักฐาน
- การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
- การเลือกสรรและจัดความสัมพันธ์ของข้อมูล
- การนำเสนอข้อมูล หรือการสังเคราะห์ข้อมูล
8. ให้นักเรียนเปรียบเทียบและอภิปรายวิธีการทางประวัติศาสตร์ กับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระและสร้างสรรค์
ชั่วโมงที่ 41. ให้นักเรียนเล่นเกมโดยแจกบัตรคำตามจำนวนนักเรียน เช่น ก้อนหิน อิฐ ใบลาน ศิลาจารึก หอก ดาบ มีด โครงกระดูก จดหมายเหตุ สายสร้อย แหวน ถ้วยชาม เป็นต้น
2. ให้นักเรียนรวมกันเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
กลุ่มที่ 2 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
3. ครูให้ตัวแทนกลุ่มบันทึกรายชื่อคำต่างๆ ที่จัดอยู่ในกลุ่มของตน เมื่อแต่ละกลุ่มทำเสร็จครูเฉลยคำตอบ และให้นักเรียนสรุปประโยชน์จากการปฏิบัติกิจกรรม
4. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาความรู้เกี่ยวกับประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย จากหนังสือเรียน
5. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความรู้ และทำใบงานที่ 3.1 เรื่อง หลักฐานทางประวัติศาสตร์
- Output
1.ความรู้ เช่น มีความรู้ความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา
2.ทักษะ เช่นสามารถแก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ มีทักษะในการเรียน
3.คำถาม เช่น สามารถตั้งคำถามเป็น
และสามรถตอบคำถามได้
4.แบบทดสอบ เช่น ทำแบบทดสอบของรายวิชาประวัติศาสตร์อยุธยาได้ผ่านเกณฑ์
วิธีการ
|
เครื่องมือ
|
เกณฑ์
|
นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
|
แบบทดสอบก่อนเรียน
|
ร้อยละ 50 ผ่านเกณฑ์
|
นักเรียนทำใบงานที่ 3.1
|
ใบงานที่ 3.1
|
ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
|
สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
|
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
|
ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น